เมนู

เป็นบริวารของตน 4 พัน ยึดการรักษาไว้แล้ว, ที่ซุ้มประตูที่ 5 ยักษ์
ชื่อสกฏะพร้อมด้วยยักษ์ที่เป็นบริวารของตน 5 พัน ยึดการรักษาไว้แล้ว,
ที่ซุ้มประตูที่ 6 ยักษ์ชื่อสกฏัตถะพร้อมด้วยยักษ์ที่เป็นบริวารของตน 6 พัน
ยึดการรักษาไว้แล้ว, ที่ซุ้มประตูที่ 7 ยักษ์ชื่อทิสามุขะพร้อมด้วยยักษ์ที่
เป็นบริวารของตน 7 พัน ยึดการรักษาไว้แล้ว. ทั้งภายในและภายนอก
แห่งปราสาท ได้มีการรักษาอย่างมั่นคงแล้ว ด้วยอาการอย่างนี้.

พระเจ้าพิมพิสารพระราชทานฉัตรตั้งให้เป็นเศรษฐี


พระราชาทรงพระนามว่าพิมพิสาร ทรงสดับว่า " ได้ยินว่า ปราสาท
7 ชั้น ซึ่งสำเร็จด้วยแก้ว 7 ประการ ผุดขึ้นแล้วเพื่อโชติกะ, กำแพง
7 ชั้น ซุ้มประตู 7 ซุ้ม ขุมทรัพย์ 4 ขุมก็ผุดขึ้นแล้ว (เพื่อโชติกะ
เหมือนกัน )" ทรงส่งฉัตรตำแหน่งเศรษฐีไป (ให้) แล้ว, เขาได้เป็นผู้
ชื่อว่า โชติกเศรษฐี. ก็หญิงผู้มีบุญกรรมอันทำไว้แล้วกับโชติกเศรษฐีนั้น
เกิดแล้วในอุตตรกุรุทวีป.
ครั้งนั้น เทพดานำนางมาจากอุตตรกุรุทวีปนั้นแล้ว ให้นั่งในห้อง
อันเป็นสิริ.
หญิงนั้นเมื่อมา ถือเอาทะนานข้าวสารทะนานหนึ่ง และแผ่นศิลา
อันลุกโพลง 3 แผ่น (มา), ภัตของชนทั้งสองนั้น ได้มีแล้วด้วยทะนาน
ข้าวสารนั้นนั่นเทียว ตลอดชีวิต.
ดังได้สดับมา ถ้าชนเหล่านั้นเป็นผู้มีประสงค์จะยังแม้เกวียน 100
เล่มให้เต็มด้วยข้าวสาร, มันก็คงปรากฏเป็นทะนานอันเต็มด้วยข้าวสารอยู่
นั่นเอง. ในเวลาหุงภัต พวกเขาใส่ข้าวสารในหม้อ แล้ววางไว้เบื้องบน

แผ่นศิลาเหล่านั้น. แผ่นศิลาก็ลุกโพลงขึ้นในขณะนั้นนั่นเอง เมื่อภัตสัก
ว่าสุกแล้ว ย่อมดับไป พวกเขารู้ความที่ภัตสุกแล้ว ด้วยสัญญานั้น
นั่นแหละ. แม้ในเวลาแกงของควรแกงเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. เขา
ทั้งสองย่อมหุงต้มอาหารด้วยแผ่นศิลาอันลุกโพลงด้วยอาการอย่างนี้.
ชนเหล่านั้น ย่อมอยู่ด้วยแสงสว่างแห่งแก้วมณี, ไม่รู้แสงสว่างของ
ไฟหรือประทีปเลย.

มหาชนต่างแตกตื่นมาชมสมบัติ


ได้ยินว่า สมบัติของโชติกเศรษฐีเห็นปานนั้น ได้ปรากฏทั่วชมพู-
ทวีปทั้งสิ้นแล้ว. มหาชนเทียมยานเป็นต้นมา เพื่อต้องการดู.
โชติกเศรษฐี สั่งให้หุงภัตด้วยข้าวสารที่นำมาจากอุตตรกุรุทวีปแล้ว
ให้ ๆ แก่ชนทั้งหลายผู้มาแล้ว ๆ, สั่งว่า " ชนทั้งหลายจงถือเอาผ้า, จงถือ
เอาเครื่องประดับ จากต้นกัลปพฤกษ์ทั้งหลาย," แล้วให้เปิดปากขุมทรัพย์
ที่มีประมาณคาวุตหนึ่ง แล้วสั่งว่า " ชนทั้งหลายจงถือเอาทรัพย์พอยัง
อัตภาพให้เป็นไปได้." เมื่อชนทั้งหลายผู้อยู่ในชมพูทวีปทั้งสิ้น ถือเอา
ทรัพย์ไปอยู่ ปากแห่งขุมทรัพย์มิได้พร่องลงแล้ว แม้เพียงองคุลีเดียว.
ได้ยินว่า นั่นเป็นผลแห่งรัตนะที่เขาโปรยลง ทำให้เป็นทรายใน
บริเวณพระคันธกุฎี.

พระเจ้าพิมพิสารมีพระประสงค์จะชมปราสาท


เมื่อมหาชน ถือเอาผ้าอาภรณ์ และทรัพย์ตามความปรารถนาไป
อยู่อย่างนั้น, พระเจ้าพิมพิสารมีพระประสงค์จะทอดพระเนตรปราสาท
ของโชติกเศรษฐีนั้นบ้าง เมื่อมหาชนมาอยู่ จึงไม่ได้โอกาสแล้ว.